เอกสารนี้นี้ได้รับการอัพเดตแล้ว
คำแปลเป็น ภาษาไทย ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ภาษาอังกฤษที่อัพเดต: 18 ต.ค. 2022

การผสานการทำงานการเริ่มต้นใช้งาน

การเริ่มต้นใช้งานร้านค้าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการช่วยให้ผู้ขายสามารถผสานการทำงานเข้ากับแพลตฟอร์มการค้าของ Meta ได้ การเริ่มต้นใช้งานที่ราบรื่นจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าสินค้าของผู้ขายเป็นปัจจุบัน ข้อมูลคำสั่งซื้อได้รับการซิงค์อย่างเหมาะสม ง่ายต่อการกระทบยอดรายไตรมาสหรือรายปี และข้อมูลธนาคารและการรับชำระเงินได้รับการตั้งค่าอย่างเหมาะสมเพื่อให้การรับชำระเงินและการรายงานเป็นไปแบบตรงเวลา

ในฐานะผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม/โซลูชั่นจากภายนอก:

  • คุณจะต้องให้ผู้ขายของคุณเริ่มต้นใช้งานแพลตฟอร์มการค้าของ Meta โดยใช้ส่วนขยาย Facebook Business (FBE) ซึ่งโดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการนำขั้นตอนการเข้าสู่ระบบไปใช้ โดยแอพพลิเคชั่นบนมือถือหรือเว็บไซต์จากภายนอกของคุณจะแจ้งให้ผู้ขายป้อนข้อมูลประจำตัว Facebook หรือ Instagram ของตน นอกจากนี้ ผู้ขายยังเลือกสินทรัพย์ Meta ที่แอพของคุณต้องการเข้าถึง เช่น บัญชี Instagram หรือแค็ตตาล็อกสินค้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของการผสานการทำงานที่คุณกำลังสร้าง เมื่อสิ้นสุดขั้นตอนนี้ ระบบจะสร้างโทเค็นการเข้าถึงเพื่อให้คุณจัดเก็บและใช้งานเมื่อเรียกใช้ API ในนามของผู้ขายรายนั้นๆ โดยคุณสามารถใช้โทเค็นนี้เพื่อสร้างผู้ใช้ระบบภายในระบบของธุรกิจได้ ซึ่งวิธีนี้เป็นโซลูชั่นที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการมีความสามารถแบบตั้งโปรแกรมในระบบของธุรกิจได้อย่างถาวรยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าผู้ใช้จะเลิกใช้
  • คุณจะต้องใช้โทเค็นการเข้าถึงสำหรับแต่ละร้านค้า (กล่าวคือ ผู้ขายที่คุณสนับสนุน) ที่ขายบนช่องทาง Facebook และ Instagram

ข้อกำหนด

คุณจำเป็นต้องผสานการทำงานกับส่วนขยาย Facebook Business (FBE) เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ด้านคุณภาพของการผสานการทำงานของร้านค้าของเรา ด้วยการทำให้ผู้ขายสามารถทำสิ่งต่อไปนี้

  • ค้นพบการผสานการทำงานกับ Meta ในแพลตฟอร์มได้อย่างง่ายดาย
  • เชื่อมต่อบัญชีบุคคลที่สามของผู้ขายกับสินทรัพย์ Meta (ตัวจัดการธุรกิจ, แค็ตตาล็อกที่มีอยู่ (หากมี), พิกเซลที่มีอยู่ (หากมี), เพจ, ชื่อผู้ใช้ Instagram)
  • ตั้งค่าและแก้ไขการตั้งค่าร้านค้าบนเว็บไซต์ (การตั้งค่าการคืนสินค้า, ข้อมูลทางกฎหมาย, ข้อมูลบัญชีธนาคาร, ข้อมูลภาษี)
  • ลิงก์สินทรัพย์เพิ่มเติม (เพจ, ชื่อผู้ใช้ Instagram) กับร้านค้า
  • แก้ไขการตั้งค่าของตน
  • ยกเลิกการใช้งาน

ก่อนเริ่มต้น

  1. ผสานการทำงานธุรกิจของคุณที่ตรวจสอบยืนยันแล้วเข้ากับ FBE
  2. เพิ่ม FBE ไปยังแอพของคุณและรับสิทธิ์การเข้าถึงแผงควบคุมสำหรับผู้พัฒนา FBE โปรดดูแผนภาพนี้เพื่อทำความเข้าใจขั้นตอนของ FBE สำหรับการค้า
  3. ทำตามขั้นตอนการตั้งค่า FBE จากนั้นส่งการผสานการทำงานของคุณเพื่อรับการตรวจสอบการผสานการทำงานกับ FBE ซึ่งรวมถึงการเปิดใช้งานประสบการณ์การจัดการฟีเจอร์ของ FBE ภายในแพลตฟอร์มของคุณ เพื่อให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนฟีเจอร์หรือแม้กระทั่งถอนการติดตั้งการตั้งค่า FBE ได้

ข้อกำหนดที่ 1: ผสานการทำงานกับส่วนขยาย Facebook Business

ส่วนขยาย Facebook Business (FBE) เป็นอินเทอร์เฟซแบบป๊อปอัพของ Meta ที่อยู่ในเว็บไซต์จากภายนอกในฐานะปลั๊กอิน และทำให้กระบวนการผสานการทำงานกับ Meta โดยรวมง่ายขึ้น ซึ่ง FBE ช่วยให้ธุรกิจสามารถตั้งค่าพิกเซลของ Meta, แค็ตตาล็อก และร้านค้าได้อย่างง่ายดาย และช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเชื่อมต่อสินค้าและบริการของตนกับช่องทาง Facebook และ Instagram บนแพลตฟอร์มของคุณได้ เมื่อเชื่อมต่อแล้ว คุณจะสามารถช่วยให้ธุรกิจเหล่านั้นใช้ชุดฟีเจอร์ที่มีประสิทธิภาพจำนวนมากได้

กล่าวสั้นๆ ก็คือ การแยกความรับผิดชอบต่างๆ ในการผสานการทำงานที่ใช้ FBE มีดังที่ระบุไว้ด้านล่างนี้

  • Meta เป็นเจ้าของ: อินเทอร์เฟซ, การยืนยันตัวตน, การเชื่อมต่อ และแพลตฟอร์ม [(มุมมองการจัดการ FBE)](มุมมองการจัดการฟีเจอร์ของ FBE) เพื่อดูสินทรัพย์ที่เชื่อมต่อ จัดการฟีเจอร์ที่ติดตั้ง และสถานะของการผสานการทำงานทางการค้า
  • พาร์ทเนอร์เป็นเจ้าของ: การตั้งค่าพิกเซล การอัพโหลดสินค้าคงคลังไปยังแค็ตตาล็อก Facebook ผ่าน API

เมื่อตั้งค่าแล้ว ธุรกิจทั้งหมดของคุณจะสามารถเริ่มขั้นตอนการเริ่มต้นใช้งาน FBE โดยใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่หรือจะเลือกสร้างสินทรัพย์ขึ้นมาใหม่ หรือทั้ง 2 อย่างรวมกันก็ได้

ขั้นตอนที่ 1: เพิ่มจุดเข้าใช้งาน FBE ในแอพของคุณ

สร้างจุดเข้าใช้งาน FBE ที่ผู้ใช้จะเลือก จัดการ หรือสร้างสินทรัพย์ของตน (เช่น ธุรกิจ, แค็ตตาล็อก, ร้านค้า, พิกเซล ฯลฯ) ซึ่งจุดเข้าใช้งานเหล่านี้สามารถอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งต่อไปนี้

  • การเข้าสู่ระบบธุรกิจ (หรือ "การเข้าสู่ระบบด้วย Facebook") – ช่วยให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นการเชื่อมต่อจากแพลตฟอร์มของคุณได้โดยใช้ปุ่มที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณ
  • แอพทางธุรกิจ – ช่วยให้ธุรกิจสามารถเริ่มต้นการเชื่อมต่อจากแพลตฟอร์ม Meta ได้ หากต้องการเปิดใช้งานขั้นตอนนี้และให้แอพของคุณแสดงบนแอพทางธุรกิจของ Meta คุณจะต้องระบุ UI การยืนยันตัวตนที่กำหนดเองบนไซต์ของคุณ ซึ่ง UI นี้ต้องอนุญาตให้ผู้ใช้เลือกธุรกิจของตน จากนั้นเปลี่ยนเส้นทางกลับไปยังขั้นตอนของ Meta ด้วยข้อมูลที่เลือก

ตัวอย่าง

https://facebook.com/dialog/oauth?
client_id=<FB_APP_ID>
&display=page
&redirect_uri="https://partner-site.com/redirectlanding"
&response_type=token
&scope=manage_business_extension
//   additionally use catalog_management or ads_management
//   &scope=manage_business_extension,catalog_management,ads_management
&extras={
  "setup": {
    "external_business_id": "foo-123",
    "timezone": "America/Los_Angeles",
    "currency": "USD",
    "domain": "https://example-shop.partner-site.com/",
    "channel": "ECOMMERCE",
    "business_vertical": "ECOMMERCE"
  },
  "business_config": {
    "business": {
      "name": "Foo Business"
    },
    "catalog_feed_scheduled": {
      "enabled": true,
      "feed_url": "https://partner-site.com/feed-url"
    },
    "page_cta": {
      "enabled": true,
      "cta_button_text": "Shop Now",
      "cta_button_url": "https://partner-site.com/foo-business",
      "below_button_text": "Powered by FBE Partner"
    },
    "ig_cta": {
      "enabled": true,
      "cta_button_text": "Shop Now",
      "cta_button_url": "https://partner-site.com/foo-business"
    },
    "messenger_menu": {
      "enabled": true,
      "cta_button_text": "Shop Now",
      "cta_button_url": "https://partner-site.com/foo-business"
    }
  },
  "repeat": false
}

คุณสามารถรับโทเค็นการเข้าถึงของธุรกิจสำหรับขั้นตอนภายหลังได้หลายวิธีดังนี้ โดยขึ้นอยู่กับการตั้งค่าที่คุณเลือก

  • การเข้าสู่ระบบธุรกิจ – ขั้นตอนนี้เหมือนกับการเข้าสู่ระบบด้วย Facebook ตามปกติตรงที่เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอน ระบบจะส่งคืน access_token ซึ่งคุณจะใช้เพื่อเรียกดูสินทรัพย์เพิ่มเติม (เช่น ID พิกเซล, ID เพจ และ ID ของ Instagram Business)
  • แอพทางธุรกิจ – ผ่าน Webhooks

ขั้นตอนที่ 2: ตั้งค่า Webhooks FBE_install

Webhooks เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับพาร์ทเนอร์ทุกรายที่ต้องการจะปรากฏใน App Store หากคุณไม่ได้มีแผนที่จะให้แอพของคุณอยู่ใน App Store คุณสามารถเลือกที่จะไม่สนใจส่วนนี้หรือกลับมาดูอีกครั้งในภายหลังได้ Meta จะส่งเหตุการณ์ Webhook ทุกครั้งที่ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งของคุณติดตั้ง แก้ไข หรือถอนการติดตั้ง FBE ซึ่งในแต่ละครั้งที่ได้รับเหตุการณ์ Webhook เราจะคาดหวังให้แอพของคุณใช้งานเหตุการณ์นี้และเข้าใจว่าธุรกิจได้แก้ไข เพิ่ม หรือลบสินทรัพย์ใดบ้างออกจากการเชื่อมต่อกับแอพของคุณ ทั้งนี้ ลักษณะการทำงานของแอพควรอัพเดตตามสินทรัพย์ที่มีการเชื่อมต่อล่าสุด เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้คุณใช้และทดสอบการสมัครรับข้อมูล Webhook ของเรา

วิธีตั้งค่า Webhook

  1. สร้างตำแหน่งข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยซึ่งสามารถประมวลผลคำขอจาก Meta ได้อย่างเหมาะสม
  2. กำหนดค่าคำอธิบาย Webhook FBE ของคุณในแดชบอร์ดของแอพดังนี้
    1. ในส่วน FBE > แท็บ Webhooks ให้พิมพ์ URL การเรียกกลับของแอพของคุณ
    2. ป้อนโทเค็นการตรวจสอบยืนยัน แล้วตรวจสอบความถูกต้องของตำแหน่งข้อมูลของคุณ

หลังจากตั้งค่าแล้ว ระบบจะสมัครรับข้อมูล Webhook fbe_install โดยอัตโนมัติ

โปรดดูขั้นตอนเพิ่มเติมโดยละเอียดที่ Webhook

การแจ้งเตือน

เมื่อได้รับการแจ้งเตือน Webhook ให้ทราบถึงการติดตั้งแล้ว คุณจะต้องดำเนินการดังนี้

  1. จัดเก็บโทเค็นการเข้าถึง (และประเภทของโทเค็น) และบันทึกสินทรัพย์ที่แอพของคุณได้รับสิทธิ์การเข้าถึงเอาไว้
  2. เปิดใช้งานชุดฟีเจอร์โดยพิจารณาจากสินทรัพย์ต่างๆ ที่ได้รับ
  3. หากไม่มีสินทรัพย์ที่จำเป็นสำหรับฟีเจอร์นั้นๆ ให้ปิดใช้งานเฉพาะฟีเจอร์ดังกล่าว ตัวอย่างเช่น หากแอพของคุณได้รับสิทธิ์การเข้าถึงแค็ตตาล็อก แต่ไม่ได้รับสิทธิ์การเข้าถึงพิกเซล ให้ใช้ฟีเจอร์ที่ทำงานด้วยแค็ตตาล็อกเท่านั้น ไม่ต้องใช้ฟีเจอร์ที่ทำงานด้วยพิกเซล
  4. แจ้งผู้ใช้พร้อมข้อมูลอัพเดตว่าแอพของคุณทำงานอย่างไรโดยพิจารณาจากสินทรัพย์ที่ผู้ใช้มีสิทธิ์การเข้าถึง

เมื่อได้รับข้อมูลอัพเดตเกี่ยวกับการติดตั้งที่มีอยู่แล้ว คุณจะต้องดำเนินการดังนี้

  1. อัพเดตโทเค็นการเข้าถึงและบันทึกของสินทรัพย์ต่างๆ ที่คุณได้รับ
  2. อัพเดตชุดฟีเจอร์ที่แอพของคุณจะเปิดใช้งานให้กับผู้ขาย โดยพิจารณาจากสินทรัพย์ที่แพลตฟอร์มได้รับ
  3. แจ้งผู้ใช้พร้อมข้อมูลอัพเดตว่าแอพของคุณทำงานอย่างไรโดยพิจารณาจากสินทรัพย์ที่ผู้ใช้มีสิทธิ์การเข้าถึง

เมื่อได้รับการแจ้งเตือนให้ทราบถึงการถอนการติดตั้งแล้ว คุณจะต้องดำเนินการดังนี้

  1. ปิดการใช้งานฟีเจอร์ที่แอพของคุณใช้สำหรับผู้ขาย
  2. แจ้งให้ผู้ขายทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่า

ขั้นตอนที่ 3: ดึงข้อมูลรายละเอียดสินทรัพย์ด้วยโทเค็นที่ส่งคืนมา

คุณสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของคุณผ่าน FBE ได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง (หรือทั้งสองวิธี) จากสองวิธีต่อไปนี้

  • Webhooksจำเป็นสำหรับพาร์ทเนอร์ทุกรายที่ต้องการจะปรากฏใน App Store ซึ่งการตั้งค่า Webhook จะช่วยให้ระบบได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับการเริ่มต้นใช้งานหรือการแก้ไขของธุรกิจผ่าน FBE ผ่านทางเพย์โหลดของ Webhook จากการตั้งค่า Webhook ในขั้นตอนที่ 2
  • ตำแหน่งข้อมูล API การติดตั้ง FBEแนะนำสำหรับธุรกิจที่โฮสต์ด้วยตนเอง สำหรับธุรกิจใดก็ตามที่ได้ติดตั้ง FBE ไว้แล้ว คุณสามารถสืบค้นข้อมูลการติดตั้งพื้นฐานได้โดยใช้ตำแหน่งข้อมูล fbe_installs คุณสามารถเรียกใช้ตำแหน่งข้อมูล API การติดตั้ง FBE เพื่อดูข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับการตั้งค่าโดยใช้โทเค็นการเข้าถึงของธุรกิจและ ID ธุรกิจภายนอก

คุณต้องตั้งค่าวิธีการเหล่านี้อย่างน้อย 1 วิธี โดยระบบจำเป็นต้องได้รับ ID สินทรัพย์ธุรกิจเพื่อกำหนดค่าฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องสำหรับธุรกิจอย่างเหมาะสม

ตัวอย่าง: การเรียกใช้ API การติดตั้ง FBE

curl -i -X GET \   "https://graph.facebook.com/<version>/fbe_business/fbe_installs?fbe_external_business_id=<external business id>&access_token=<access token sanitized>"

ขั้นตอนที่ 4: ดึงข้อมูลโทเค็นผู้ใช้ระบบ

หลังจากที่ผู้ใช้ติดตั้ง FBE แล้ว ส่วนขยายจะสร้างผู้ใช้ระบบที่เป็นพนักงานบนตัวจัดการธุรกิจของลูกค้า โปรดทราบว่า ผู้ใช้ระบบนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้ในตัวจัดการธุรกิจอีกต่อไป แต่จะมีอยู่ในแบ็กเอนด์ การตั้งชื่อสำหรับผู้ใช้ระบบใหม่นี้เป็นไปตามสกีมา {App Name} ผู้ใช้ระบบ (FBE)

โทเค็นผู้ใช้ระบบและสิทธิ์การเข้าถึง API ดังกล่าวไม่ได้เชื่อมโยงกับบุคคลเพียงคนเดียว ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างยิ่งในกรณีที่พนักงานออกจากบริษัทหรือปิดใช้งานโปรไฟล์ของตน หากคุณได้รับโทเค็นการเข้าถึงผู้ใช้ผ่าน Webhook หรือการเข้าสู่ระบบธุรกิจหลังจากติดตั้ง FBE คุณสามารถใช้โทเค็นเดียวกันนี้เพื่อรับโทเค็นการเข้าถึงผู้ใช้ระบบของตัวจัดการธุรกิจได้

โดยให้เรียกใช้ API ต่อไปนี้

curl -X POST \
  -F 'app_id={app_id}' \
  -F 'scope=ads_management,catalog_management,manage_business_extension' \ 
  -F 'access_token={user_access_token}' \
  -F 'fbe_external_business_id={fbe_external_business_id}' \ 
https://graph.facebook.com/<API_VERSION>/<client_business_manager_id>/access_token

สำหรับช่อง scope ให้ใช้สิทธิ์การอนุญาต manage_business_extension และอาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์การอนุญาต ads_management, catalog_management, pages_read_engagement, business_management, instagram_basic และ manage_business_extension ด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรณีการใช้งานของคุณ (โปรดดูขั้นตอนที่ 5)

  • หากแอพของคุณจำเป็นต้องอ่านและจัดการบัญชีโฆษณาของธุรกิจ ให้ส่งคำขอสิทธิ์การอนุญาต ads_management ซึ่งสิทธิ์การอนุญาตนี้จะทำให้คุณสามารถสร้างแคมเปญโฆษณา ดึงข้อมูลเกณฑ์ชี้วัดโฆษณา สร้างเครื่องมือการจัดการโฆษณา และอื่นๆ อีกมากมายได้
  • หากแอพของคุณจำเป็นต้องสร้าง อ่าน อัพเดต หรือลบแค็ตตาล็อกสินค้าที่ธุรกิจเป็นเจ้าของโดยที่ธุรกิจเป็นผู้ดูแลอยู่ คุณควรส่งคำขอสิทธิ์การอนุญาต catalog_management เราขอแนะนำให้ใช้สิทธิ์การอนุญาตนี้กับทุกแอพ ซึ่งสิทธิ์การอนุญาตนี้จะทำให้แอพของคุณสามารถสร้างโซลูชั่นที่เกี่ยวข้องกับการค้า โฆษณาแบบไดนามิก และการจัดการสินค้าคงคลังได้

ขั้นตอนที่ 5: ตั้งค่ามุมมองการจัดการ

คุณสามารถนำธุรกิจไปยังมุมมองการจัดการฟีเจอร์ของ FBE ของเราจากแพลตฟอร์มของคุณได้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถกำหนดค่าฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ (นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในการติดตั้ง) โดยคุณสามารถใช้ JavaScript SDK หรือ URL เพื่อเพิ่มจุดเข้าใช้งานในการเปิดใช้มุมมองการจัดการ FBE ทั้ง 2 วิธีนี้จำเป็นต้องแสดงปุ่มสำหรับคลิก ซึ่งจะเปิดหน้าต่างมุมมองการจัดการ FBE ขึ้นมา

ขั้นตอนที่ 6: เพิ่มจุดเข้าใช้งานเพื่อถอนการติดตั้ง FBE

แพลตฟอร์มของคุณควรเพิ่มจุดเข้าใช้งาน (เช่น ปุ่ม) เพื่อให้ธุรกิจถอนการติดตั้ง FBE ได้ ทั้งนี้ เราขอแนะนำให้เพิ่มโดยส่งคำขอ DELETE ไปยังตำแหน่งข้อมูลที่เหมาะสม

ตัวอย่าง: การเรียกใช้ไปยังตำแหน่งข้อมูลการลบของเรา

curl -X DELETE \
"https://graph.facebook.com/v<API_VERSION>/fbe_business/fbe_installs?fbe_external_business_id=<FBE_EXTERNAL_BUSINESS_ID>&access_token=<ACCESS_TOKEN>"

หากคุณใช้ Webhook fbe_install คุณจะได้รับเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อผู้ใช้ถอนการติดตั้ง FBE