3: การนำไปใช้สำหรับผู้พัฒนา

หน้านี้จะกล่าวถึงการผสานการทำงานด้วยตนเองและครอบคลุมถึงการดำเนินการต่อไปนี้

คุณสามารถปฏิบัติตามเนื้อหาส่วนนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตัดสินใจที่จะผสานการทำงานนี้ให้เสร็จสิ้นโดยใช้การผสานการทำงานด้วยตนเองและแหล่งข้อมูลสำหรับผู้พัฒนา แต่หากคุณตัดสินใจที่จะผสานการทำงานนี้ให้เสร็จสิ้นโดยใช้พาร์ทเนอร์ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในการผสานการทำงานของพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้อง คุณสามารถข้ามไปยังส่วนที่ 4: ตรวจสอบยืนยันข้อมูลในคู่มือนี้ได้เมื่อคุณผสานการทำงานกับพาร์ทเนอร์เสร็จสิ้นแล้ว

คุณจะต้องมีสิทธิ์การเข้าถึงระดับผู้ดูแลตัวจัดการธุรกิจจึงจะสามารถดำเนินขั้นตอนการผสานการทำงานนี้ให้เสร็จสิ้นได้ คุณสามารถรับสิทธิ์การเข้าถึงจากอีเมลที่ส่งถึงคุณได้หากคุณได้รับเชิญให้เป็นผู้พัฒนา หรือมิฉะนั้น ให้ติดต่อผู้ดูแลตัวจัดการธุรกิจเพื่อขอสิทธิ์การเข้าถึง

ขั้นตอนที่ 1: สร้างเพย์โหลด

ขั้นตอนนี้จะแสดงรายละเอียดข้อมูลจำเพาะของเพย์โหลดสำหรับการผสานการทำงานข้อมูลลูกค้าคอนเวอร์ชั่น และให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีส่งข้อมูลจำเพาะเหล่านี้จากเซิร์ฟเวอร์ของคุณ

  1. เปิดคู่มือการผสานการทำงาน CRM จากแท็บ "การตั้งค่า" ของพิกเซล CRM เพื่อเริ่มต้น

  2. อ่านคู่มือผู้พัฒนา API คอนเวอร์ชั่นเพื่อทำความเข้าใจวิธีการทำงานของAPI คอนเวอร์ชั่น

  3. เราขอแนะนำให้ใช้ตัวช่วยเพย์โหลดเพื่อสร้างเพย์โหลดของคุณ โดยตัวช่วยเพย์โหลดจะช่วยจัดรูปแบบเพย์โหลดและตรวจหาข้อผิดพลาด เมื่อข้อผิดพลาดของเพย์โหลดทั้งหมดได้รับการแก้ไขแล้ว ให้คลิกปุ่ม "รับโค้ด" ภายในตัวช่วยเพย์โหลดเพื่อสร้างเทมเพลตโค้ดสำหรับภาษาเขียนโปรแกรมของคุณ

  4. ด้านล่างนี้คือรายการพารามิเตอร์ที่จำเป็นต้องระบุ คุณสามารถดูคำอธิบายแต่ละพารามิเตอร์โดยละเอียดได้ที่คู่มือการผสานการทำงานข้อมูลลูกค้าคอนเวอร์ชั่น - ข้อมูลจำเพาะของเพย์โหลดคุณควรใช้ข้อมูลจำเพาะของเพย์โหลดนี้สำหรับเหตุการณ์การปรับข้อมูลลูกค้าคอนเวอร์ชั่นให้เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเหตุการณ์ควรเกี่ยวข้องกับโฆษณาแบบกรอกฟอร์มของ Meta และมี ID ข้อมูลลูกค้าที่ถูกต้องเท่านั้น อย่าใช้ข้อมูลจำเพาะของเพย์โหลดนี้กับเหตุการณ์ประเภทอื่นๆ เช่น ข้อมูลลูกค้าบนเว็บไซต์

    พารามิเตอร์
    ชื่อคำอธิบาย

    event_name

    สตริง

    ช่องแบบอิสระเพื่อบันทึกขั้นตอนของข้อมูลลูกค้าที่คุณใช้ภายใน CRM

    พารามิเตอร์ event_name ควรระบุข้อมูลลูกค้าที่กำลังเข้าสู่กระบวนการขายใน CRM ของคุณ คุณต้องไม่ลืมส่งขั้นตอนทั้งหมดเมื่อมีการอัพเดต รวมถึงข้อมูลลูกค้าที่เป็นข้อมูลดิบด้วย

    event_time

    จำนวนเต็ม

    ประทับเวลา Unix เป็นวินาทีซึ่งระบุเวลาที่ CRM ของคุณอัพเดตเหตุการณ์การอัพเดตขั้นตอนของข้อมูลลูกค้า
    โดยประทับเวลาต้องเกิดขึ้นหลังเวลาของการรวบรวมข้อมูลลูกค้า มิฉะนั้นระบบอาจละทิ้งเหตุการณ์นี้

    action_source

    สตริง

    ค่า:system_generated


    (เมื่อคุณใช้ API คอนเวอร์ชั่น แสดงว่าคุณยอมรับว่าพารามิเตอร์ action_source นั้นถูกต้องตามความขอบเขตความเข้าใจสูงสุดที่คุณมี)

    lead_id

    จำนวนเต็ม

    leadgen_id ที่มี 15 หรือ 16 หลักจากข้อมูลลูกค้าที่คุณดาวน์โหลด

    lead_event_source

    สตริง

    ชื่อของ CRM ที่เป็นที่มาของเหตุการณ์

    event_source

    สตริง

    ค่า:crm



    ตัวอย่าง
    ตัวอย่างเพย์โหลดอาจมีลักษณะดังนี้ หมายเหตุ: คุณต้องใช้ lead_id ที่ถูกต้อง มิฉะนั้นระบบจะปฏิเสธเหตุการณ์ของคุณ
    {
        "data": [
            {
                "event_name": "initial_lead",
                "event_time": 1629424350,
                "action_source": "system_generated",
                "user_data": {
                    "lead_id": 525645896321548
                },
                "custom_data": {
                    "event_source": "crm",
                    "lead_event_source": "salesforce"
                }
            }
        ]
    }
    
    

  5. หากเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามข้อมูลจำเพาะของเพย์โหลดหรือไม่ตรงกับโฆษณาแบบกรอกฟอร์มของ Meta ระบบจะไม่ยอมรับให้ใช้เหตุการณ์เหล่านั้นสำหรับการผสานการทำงาน และจะไม่นำมาใช้ในการฝึกโมเดล
    ตัวอย่างเช่น API คอนเวอร์ชั่นจะยอมรับเพย์โหลดของเว็บและปรากฏในตัวจัดการเหตุการณ์ แต่จะไม่ยอมรับให้ใช้สำหรับการผสานการทำงานนี้ คุณต้องใช้ lead_id ที่ถูกต้องด้วยเช่นกัน มิฉะนั้นระบบจะปฏิเสธเหตุการณ์ของคุณ
    ระบบจะยอมรับเฉพาะเพย์โหลดข้อมูลลูกค้าคอนเวอร์ชั่นเพื่อนำไปใช้สำหรับการผสานการทำงานและใช้ในการฝึก

ขั้นตอนที่ 2: สร้างโทเค็นการเข้าถึงและการเรียกใช้ API

เมื่อคุณกำหนดค่าสิ่งที่คุณจะส่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการกำหนดค่าว่าคุณจะส่งข้อมูลดังกล่าวไปที่ใด

โดยขั้นตอนนี้จะช่วยคุณสร้างโทเค็นการเข้าถึงสำหรับพิกเซลของ Meta ซึ่งจะถูกใช้เพื่อสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของคุณกับ API คอนเวอร์ชั่น

  1. คุณสามารถกลับไปที่คู่มือการผสานการทำงาน CRM ได้จากแท็บ "การตั้งค่า" ของพิกเซล CRM

  2. เลื่อนลงมาที่ส่วน "สร้างตำแหน่งข้อมูล" แล้วคลิกปุ่ม "สร้างโทเค็นการเข้าถึง" โทเค็นการเข้าถึงจะถูกใช้เพื่อสร้างการเรียกใช้ API ของคุณ
    คุณสามารถสร้างโทเค็นการเข้าถึงใหม่ได้โดยกลับไปที่คู่มือการผสานการทำงานหรือสร้างจากแท็บ "การตั้งค่า" ในตัวจัดการเหตุการณ์โดยไปที่ส่วน "API คอนเวอร์ชั่น" แล้วคลิกลิงก์ "สร้างโทเค็นการเข้าถึง"

  3. ส่วนที่เหลือของคู่มือนี้จะแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ SDK ของ Meta หรือไม่ เราขอแนะนำให้ใช้ Meta Business SDK เนื่องจากมีการส่งข้อความแสดงข้อผิดพลาดและข้อความการวินิจฉัยที่ดีกว่า คุณจะต้องมี ID พิกเซลและโทเค็นการเข้าถึงเพื่อเรียกใช้ API ผ่าน Meta Business SDK ซึ่งคุณสามารถรับโทเค็นการเข้าถึงได้โดยคลิกที่ "คัดลอกโทเค็นการเข้าถึง" ในคู่มือการผสานการทำงาน CRM แล้วบันทึกเอาไว้ และคุณสามารถดูตัวอย่างการเรียกใช้ SDK API ได้ในคู่มือสำหรับผู้พัฒนา API คอนเวอร์ชั่นหรือฟังก์ชั่น "รับโค้ด" ในตัวช่วยเพย์โหลดของ Meta

  4. ด้านล่างนี้คือรูปแบบตำแหน่งข้อมูลในการส่งคำขอ POST ไปยัง API คอนเวอร์ชั่นโดยไม่ต้องใช้ SDK คุณสามารถรับตำแหน่งข้อมูลทั้งหมดได้โดยคลิกที่ "คัดลอกตำแหน่งข้อมูล" ในคู่มือการผสานการทำงาน CRM แล้วบันทึกเอาไว้
    https://graph.facebook.com/API_VERSION/PIXEL_ID/events?access_token=ACCESS_TOKEN
    • API_VERSION: API การตลาดเวอร์ชั่นปัจจุบัน
    • PIXEL_ID: คุณสามารถรับ ID พิกเซลได้จากตัวจัดการเหตุการณ์สำหรับแต่ละพิกเซล
    • ACCESS_TOKEN: โทเค็นการเข้าถึงที่สร้างขึ้นตามที่แสดงไว้ข้างต้น
  5. คุณสามารถดูการเปิดตัว API การตลาดและวันหมดอายุได้ในเอกสารประกอบเกี่ยวกับเวอร์ชั่นของ API อย่าลืมอัพเดตเวอร์ชั่น API หรือ Meta Business SDK ในโค้ดของคุณก่อนที่ API การตลาดจะหมดอายุ หากคุณใช้เวอร์ชั่นที่เลิกใช้งานแล้วในโค้ดของคุณอาจส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาด และระบบอาจละทิ้งเหตุการณ์ต่างๆ ของคุณ

ขั้นตอนที่ 3: ทดสอบเพย์โหลด (ไม่บังคับ)

ในขั้นตอนนี้ คุณอาจต้องการส่งเพย์โหลดขั้นทดสอบไปยังพิกเซลของคุณก่อนที่จะนำโค้ดไปใช้บนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งคุณสามารถทำได้โดยใช้แท็บ "เหตุการณ์การทดสอบ" ในตัวจัดการเหตุการณ์

  1. ในส่วน "ทดสอบเหตุการณ์" ให้คลิกที่ลิงก์ "Graph API Explorer" การใช้ลิงก์เฉพาะนี้จะกรอกข้อมูลบางส่วนจากพิกเซลของคุณไว้ล่วงหน้า (คุณสามารถเข้าถึง Graph API Explorer โดยตรงก็ได้เช่นกันหากต้องการ) ให้จดบันทึกค่า test_event_code เอาไว้ เนื่องจากเป็นค่าที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

  2. ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ในเครื่องมือ Graph API Explorer
    1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณอยู่ในโหมด POST
    2. ตรวจสอบว่าเวอร์ชั่น API และ ID พิกเซลของคุณถูกต้อง
    3. สลับเป็นมุมมอง JSON
    4. ป้อนเพย์โหลดของคุณ ซึ่งสามารถสร้างหรือทำขึ้นได้ด้วยตนเองโดยใช้ตัวช่วยเพย์โหลด อย่าลืมใส่พารามิเตอร์ test_event_code จากขั้นตอนก่อนหน้านี้และ lead_id ที่ถูกต้อง
  3. ป้อนโทเค็นการเข้าถึงพิกเซลของคุณ แล้วคลิกปุ่ม "ส่ง"

  4. หากเพย์โหลดของคุณไม่มีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับรูปแบบคำสั่งหรือ API คุณจะได้รับข้อความที่ระบุว่าส่งสำเร็จพร้อมด้วย fbtrace_id

  5. เหตุการณ์การทดสอบจะปรากฏในแท็บ "เหตุการณ์การทดสอบ" ที่อยู่ในตัวจัดการเหตุการณ์หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

ขั้นตอนที่ 4: ส่งข้อมูลการใช้งานจริง

ข้อมูลการใช้งานจริงจะอยู่ในรูปแบบเดียวกับเพย์โหลดที่สร้างในขั้นตอนที่ 3 แต่ต่างกันตรงที่ข้อมูลนี้จะมาจากเซิร์ฟเวอร์ของคุณโดยตรง ซึ่งขั้นตอนนี้จะแตกต่างกันไปในการผสานการทำงานแต่ละครั้ง ดังนั้นเนื้อหาส่วนนี้จะให้คำแนะนำมากกว่าจะเป็นการสาธิต

  1. ส่ง lead_id แทน PII สำหรับการจับคู่

  2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณส่งขั้นตอนของข้อมูลลูกค้าทุกขั้นตอนเมื่อมีการอัพเดต ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ข้อมูลลูกค้าดิบที่แสดงถึงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดที่สร้างขึ้นบน Meta และดาวน์โหลดลงใน CRM ของคุณ ด้านล่างนี้คือตัวอย่างกราฟทรงกรวย โดยชื่อและขั้นตอนของเหตุการณ์จะเป็นไปตามที่ผู้ลงโฆษณากำหนด ดังนั้นชื่อและขั้นตอนไม่จำเป็นต้องเหมือนกับตัวอย่างนี้เสมอไป


    หากแคมเปญของคุณสร้างข้อมูลลูกค้าได้ 100 รายการ ก็จะมีการอัพโหลดเหตุการณ์ "ข้อมูลลูกค้าดิบ" 100 รายการเพื่อแสดงถึงขั้นตอนข้อมูลลูกค้าขั้นตอนแรก การส่งขั้นตอนข้อมูลลูกค้าขั้นตอนแรกจะทำให้ระบบทราบว่าได้รับและประมวลผลข้อมูลลูกค้าแล้ว เมื่อข้อมูลลูกค้าเข้าสู่กระบวนการขาย จะมีการอัพโหลดขั้นตอน "ข้อมูลลูกค้าที่ผ่านเกณฑ์ทางการตลาด" 70 รายการ ขั้นตอน "โอกาสในการขาย" 30 รายการ และขั้นตอน "คอนเวอร์ชั่น" 15 รายการ

    โดยสรุปแล้ว ระบบจะสร้างข้อมูลลูกค้า 100 รายการจากแคมเปญ แต่จะมีการอัพโหลด 215 เหตุการณ์ในสถานการณ์ตัวอย่างนี้

  3. สร้างฟังก์ชั่นที่จะเรียกดูข้อมูลอัพเดตจาก API ของ CRM หรือฐานข้อมูลทุกครั้งที่มีการอัพเดตสถานะข้อมูลลูกค้า จากนั้นส่งเพย์โหลดของคุณไปที่ API คอนเวอร์ชั่นของ Meta โดยใช้ฟังก์ชั่นแบบกำหนดเองหรือ Business SDK ของ Meta ทั้งนี้ สิ่งที่เหมาะกับการผสานการทำงานของคุณที่สุดจะขึ้นอยู่กับ CRM และการกำหนดค่าฐานข้อมูลของคุณ

    เราขอแนะนำให้ใช้ตัวแปรสำหรับค่าต่อไปนี้
    • lead_id
    • event_name
    • event_time
    ตัวอย่างเช่น เพย์โหลดที่ระบุค่าพารามิเตอร์อย่างชัดเจนอาจมีลักษณะดังนี้
    {
      "event_name": "initial_lead",
      "event_time": 1628294742,
      "user_data": {
        "lead_id": 1234567890123456
      },
      "action_source": "system_generated",
      "custom_data:" {
        "lead_event_source": "Salesforce",
        "event_source": "crm"
      }
    }
    
    เพย์โหลดที่ส่งค่าจากฐานข้อมูลของคุณโดยใช้ตัวแปรอาจมีลักษณะดังนี้
    {
      "event_name": lead_stage // "initial_lead"
      "event_time": unix_time // 1628294742
      "user_data": {
        "lead_id": fb_lead_id // 1234567890123456
      },
      "action_source": "system_generated",
      "custom_data:" {
        "lead_event_source": "Salesforce",
        "event_source": "crm"
      }
    }
    

  4. อัพโหลดข้อมูลอย่างน้อยวันละครั้ง โดยหลักการแล้ว คุณควรเรียกใช้คำสั่งไปยัง CRM ของคุณแบบเรียลไทม์ แต่คุณอาจใช้วิธีรวมเป็นแบตช์แบบรายชั่วโมงหรือรายวันหากไม่สามารถผสานการทำงานแบบเรียลไทม์ก็ได้เช่นกัน
    หากคุณเลือกวิธีรวมเป็นแบตช์ คุณจะต้องบันทึกประวัติการเปลี่ยนแปลงสถานะข้อมูลลูกค้า แทนที่จะบันทึกข้อมูลลูกค้า ณ เวลาที่รวมเป็นแบตช์โดยคร่าวๆ ตัวอย่างเช่น หากมีการอัพเดตสถานะของข้อมูลลูกค้า 3 ครั้งระหว่างแบตช์ต่างๆ คุณก็ควรมีเหตุการณ์ของข้อมูลลูกค้านี้ 3 เหตุการณ์แทนที่จะมีแค่การอัพเดตครั้งสุดท้าย
    หมายเหตุ: แต่ละแบตช์สามารถมีเหตุการณ์ได้สูงสุด 1,000 เหตุการณ์ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในแบตช์ ระบบจะละทิ้งทั้งแบตช์ เราจึงแนะนำอย่างยิ่งให้ใช้แบตช์ขนาดเล็กและเพิ่มตรรกะสำหรับการดำเนินการซ้ำอีกครั้ง

  5. (ขั้นตอนนี้จะทำหรือไม่ก็ได้) เราขอแนะนำให้ลงบันทึกข้อความแสดงข้อผิดพลาดจากการเรียกใช้ CAPI และสร้างการแจ้งเตือนหากมีปัญหา การจัดการข้อยกเว้นสำหรับข้อผิดพลาดเหล่านี้ก็เป็นความคิดที่ดีเช่นกัน

  6. คุณสามารถเพิ่มข้อมูลย้อนหลังได้สูงสุด 7 วัน โดยระบบจะคำนวณความต่างของเวลาระหว่าง event_time และ upload_time การเพิ่มข้อมูลย้อนหลังบางส่วนอาจช่วยเร่งกระบวนการฝึกให้เร็วขึ้นได้

    คำเตือน: อย่าพยายามเพิ่มข้อมูลย้อนหลังเกิน 7 วันโดยการปรับแก้ค่า event_time โมเดลนี้จะอาศัยประทับเวลาที่แม่นยำเพื่อปรับให้เหมาะสม หากคุณปรับแก้อาจทำให้ระบบละทิ้งข้อมูลย้อนหลังที่คุณเพิ่มทั้งหมด

  7. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าค่า event_time ของคุณอยู่หลังประทับเวลาการรวบรวมข้อมูลลูกค้า มิฉะนั้นระบบอาจละทิ้งเหตุการณ์ของคุณ

  8. คุณจะเริ่มเห็นเหตุการณ์ปรากฏในตัวจัดการเหตุการณ์สำหรับพิกเซลของคุณภายในหนึ่งชั่วโมง หากการผสานการทำงานของคุณอัพโหลดเหตุการณ์ไปยัง Meta โปรดอย่าลืมใช้ lead_id ที่ถูกต้องในเพย์โหลดของคุณเพื่อให้เหตุการณ์ปรากฏ เปิดแต่ละเหตุการณ์ที่ส่งไปเพื่อผสานการทำงาน CRM ของข้อมูลลูกค้าคอนเวอร์ชั่นในตัวจัดการเหตุการณ์ และตรวจสอบว่าได้มีการป้อนพารามิเตอร์ที่กำหนดเองอย่าง lead_event_source และ event_source แล้ว หากเหตุการณ์ไม่มีพารามิเตอร์เหล่านี้ เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ได้รับการลงทะเบียนเป็นเหตุการณ์ข้อมูลลูกค้าคอนเวอร์ชั่น
  9. ระบบจะตรวจสอบว่าเหตุการณ์ของคุณเป็นเหตุการณ์ข้อมูลลูกค้าคอนเวอร์ชั่นที่ถูกต้องหรือไม่ หลังจากผ่านไป 1 วัน เครื่องหมายถูกสีเขียวจะปรากฏถัดจากขั้นตอนส่งเหตุการณ์ CRM ของการผสานการทำงาน หากระบบตรวจพบเหตุการณ์ที่ถูกต้อง